วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการนานาชาติแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ภูเก็ต
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.53 ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน ประธานกรรมการดำเนินงานโครงการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 มิ.ย 2553 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวภายหลังพิธีเปิดการประชุมสัมมนา ว่า ในปีนี้ทางมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการนานาชาติแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia Pacific Coral Reef Symposium:2nd APCRS 2010) ภายใต้หัวข้อ “Collaboration for Coral Reef Conservation in a Changing Climate” เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระดมความคิดเห็น และสร้างเครือข่ายของนักวิทยาศาสตร์ด้านแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเพื่อการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพในการลดภาวะคุกคามแนวปะการัง ตลอดจนการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกต่อระบบนิเวศแนวปะการัง โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยของฮ่องกงเป็นผู้ริเริ่มจัดการประชุมวิชาการดังกล่าวขึ้น และในปีนี้ทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ
โดยเชิญนักวิจัยที่ทำงานเกี่ยวกับแนวปะการังในภูมิภาคมาร่วมกันนำเสนอผลงานวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับแนวปะการังระหว่างกัน โดยเฉพาะแนวปะรังของประเทศไทยซึ่งประสบกับปัญหาวิกฤตพอสมควร เนื่องจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและปัจจัยอื่นๆ
การประชุมในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการด้านแนวปะการังจากประเทศต่างๆ จาก 35 ประเทศทั้งโลกเข้าร่วมประชุม เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับแนวปะการังด้านต่างๆ มากกว่า 400 เรื่อง อาทิ ผลงานวิจัย การเกิดโรคในแนวปะการัง วิธีการฟื้นฟูแนวปะการังด้วยเทคนิคต่างๆ องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการพื้นที่อุทยาน หรือนอกเขตอุทยาน ภาวะมลพิษในแนวปะการัง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ที่ลงลึกเพื่อให้เข้าใจกลไกการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมของปะการัง ซึ่งในส่วนของนักวิทยาศาสตร์และนักว่าชาการของไทยนั้นจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยประมาณ 40-50 ผลงาน
ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวปะการังเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชากรมากกว่า 500 ล้านคน ที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทั่วโลก โดยเฉพาะแนวปะการังในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นแนวปะการังส่วนใหญ่ของโลก
แต่ปรากฏว่า ปัจจุบันนี้แนวปะการังจำนวนมากมีความเสื่อมโทรมมาจากการทำประมงเกินขนาด และมลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง โดยเฉพาะปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกก็มีแนวโน้มที่จะทำให้แนวปะการังเสื่อมโทรมลงและที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ คือปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่
ผศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์การเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวนั้นจะเป็นประเด็นใหญ่ที่จะมีการพูดคุยกัน ตั้งแต่เรื่องของพื้นที่ที่เกิดปัญหา ความทนทานหรือภูมิต้านทาน การปรับตัวหลังจากที่อุณหภูมิน้ำทะเลลดลง การฟื้นตัวของแนวปะการังในแต่ละพื้นที่ รวมถึงองค์ประกอบหรือชนิดของปะการังที่มีชีวิตรอดและตายไป ซึ่งจะโยงไปถึงแนวทางการฟื้นฟูว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากการเข้าไปเกี่ยวข้องของคน
เช่น ตะกอนจากการพัฒนาชายฝั่ง น้ำเสีย เป็นต้น เพื่อจะหาวิธีการในการสร้างภูมิต้านทานให้กับปะการัง เพราะเราคงไม่สามารถที่จะไปควบคุมอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติได้ เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำได้ คือการพยายามรักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสม และมีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อจะสามารถต่อสู้กับภาวการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ส่วนภาพรวมของสถานการ์แนวปะการังของไทยนั้น เชื่อว่า ประมาณ 30-40% อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แต่ก็มีความพยายามในการประคับประคองให้แนวปะการังที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีและไม่เสื่อมโทรมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงความพยามในการดูแลรักษาพื้นที่ที่มีความเสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะแนวปะการังจะมีการเติบโตได้ช้า เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามกำหนดมาตรการในการป้องกันไม่ให้แนวปะการังที่ดีอยู่แล้วเกิดการเสื่อมโทรมไปมากกว่า
ขณะที่ ดร.พุท โอ อัง ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย ไชนีช ฮ่องกง ซึ่งเข้าร่วมประชุมทางวิชาการในครั้งนี้ กล่าวว่า ขณะนี้ปะการังส่วนใหญ่ถูกทำลายลงมาก ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำมือของมนุษย์ การก่อสร้างอาคารใกล้แนวชายหาด หรือการตัดต้นไม้ แม้กระทั่งสภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปะการังฟอกขาวมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวปะการังบางส่วนจะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม แต่ในภาคพื้นของเอเชียแปซิก ก็ยังคงมีปะการังที่ยังมีความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นในเขตของประเทศไทย อินโดนีเชีย ฟิลปินส์
ดังนั้น การที่นักวิชาการหรือกลุ่มต่างๆ ให้ความตื่นตัวที่จะหันมาร่วมกันค้นคว้า วิจัย หาแนวทางเพื่อที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ให้อยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นเรื่องที่ดี และมีประโยชน์อย่างมาก และการนำเสนอผลงานการวิจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะช่วยกันในเรื่องของการรักษาแนวปะการังให้มีความสวยงามต่อไปได้
ข้อมูลจาก..ผู้จัดการ ออนไลน์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั่วไป